คนส่วนหนึ่งเชื่อว่า การ สวดมนต์ เป็นแค่เพียงกิจกรรมอย่างหนึ่งทางศาสนา…แต่คนอีกส่วนหนึ่งซึ่งสวดมนต์เป็นประจำจนเห็นผลดีกับตัวเอง กลับค้นพบว่า การสวดมนต์มีพลังอำนาจมากกว่าที่คิด
การสวดมนต์ถือเป็นกุศลกรรมอย่างหนึ่ง เพราะเป็นการสวดหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นธรรมะทั้งสิ้นนอกจากนี้ ในขณะที่สวดนั้นเป็นการทำความดีทั้งทางกาย (กิริยาที่กำลังสวดมนต์) ทางวาจา (การสวด) และทางใจ (ต้องมีสมาธิต่อบทสวดมนต์) ยิ่งถ้าเป็นการสวดมนต์แปลที่ทำให้ได้ปัญญาด้วยก็ยิ่งเป็นมหากุศล เพราะจะส่งผลให้รู้จักนำธรรมะมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
โดยบทสวดมนต์ในพุทธศาสนามีทั้งที่เป็นบทสวดแบบร้อยแก้วคือความเรียงธรรมดา และแบบร้อยกรอง กล่าวเฉพาะบทสวดมนต์ที่ชาวพุทธไทยนิยมสวดกันในปัจจุบันนั้น โดยมากมักเป็นบทสวดประเภทกวีนิพนธ์ เช่น คาถาชินบัญชร คาถาพาหุง คาถาโพชฌงค์ ซึ่งล้วนมีความไพเราะเพราะพริ้ง มีความวิจิตรบรรจงในการเลือกใช้คำและซ่อนความหมายระหว่างบรรทัดให้ขบคิดแพรวพราวแทบทุกบท
ทั้งนี้ ท่าน ว.วชิรเมธีทิ้งท้ายให้คิดว่า “มนต์” เป็นพระพุทธพจน์ที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ถ้าสวดมนต์แบบไม่มีปัญญาจะเรียกว่า “มนต์คาถา” ถ้าสวดอย่างมีปัญญาเข้าใจในพุทธธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เราเรียกว่า “พุทธมนต์” ทุกวันนี้เราต้องตรองดูว่ากำลังสวดพุทธมนต์หรือมนต์คาถา ถ้าการสวดมนต์ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น ทำให้เข้าใจโลก เข้าใจชีวิต เปลี่ยนความคิดให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้น ก็เรียกได้ว่าสวดมนต์อย่างถูกต้องถูกทาง
ขอขอบคุณสื่อจาก
30 พฤษภาคม 2568
20 เมษายน 2568
10 เมษายน 2568
30 มีนาคม 2568
20 มีนาคม 2568