The Light Up Talk: เจาะนิสัย เข้าใจเด็ก
มุมมองประเด็นสำคัญจากการสัมภาษณ์ ในรายการ The Light Up Talk ครูพรรนิภา การกุณา (ครูปอย) ครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ครูที่ปรึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 โรงเรียนนวมินทราชินูทิศเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ จังหวัดสมุทรปราการ
ครูปอยกับสมุดบันทึกความดี
คำสอนที่ได้ยินมาว่า ให้เราทำความดี ละเว้นความชั่ว และทำจิตใจให้บริสุทธิ์ คงจะเป็นที่คุ้นหูของทุก ๆ คน เพราะเราได้รับการสอนให้ท่องจำแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ เราเชื่อว่าหลายคนอาจจะรู้สึกว่าการทำความดีตามคำสอนนี้ ต้องเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อคนหมู่มาก เมื่อคิดดังนี้แล้ว ก็นำมาซึ่งความท้อใจที่จะเริ่มลงมือทำความดี หลายครั้งเราก็เป็นหนึ่งในคนที่เคยมีความคิดแบบนั้น จนได้มาฟังเรื่องราวของครูปอยและลูกศิษย์ของคุณครู
ครูปอยพูดถึงเด็ก ๆ กับการทำความดี ไว้อย่างน่าสนใจว่า หลายครั้งเด็ก ๆ สร้างภาพการทำความดีไว้ยิ่งใหญ่ จนละเลยมุมมองที่แตกต่างและหลากหลายของการทำความดี
สมุดบันทึกความดีจึงเป็นจุดเริ่มต้น ในการเปิดมุมมองของนักเรียนต่อการทำความดี โดยเริ่มจากสิ่งเล็กๆ ที่เป็นกิจวัตรประจำวัน ซึ่งเด็กหลายคนทำเป็นประจำอยู่แล้ว แต่เมื่อมีการชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่ทำอยู่ คือการทำความดี จึงก่อให้เกิดการตระหนักรู้ อันนำมาซึ่งความภูมิใจ และแรงจูงใจให้อยากทำอย่างต่อเนื่อง จนเพาะบ่มกลายเป็นนิสัยที่ดี และสร้างความสุขให้ตนเองและคนรอบข้าง
สำหรับเด็กที่ไม่เคยทำ ก็จะสามารถตระหนักรู้ได้เช่นกัน ว่าการทำความดี ไม่ได้ยากเย็นและยิ่งใหญ่เหมือนที่เคยวาดภาพไว้ จึงมีแรงจูงใจที่อยากจะเริ่มลงมือทำบ้าง จนสามารถทำได้บ่อยขึ้น และสามารถ เพาะบ่มกลายเป็นนิสัยที่ดี ได้ไม่แตกต่างกัน
การทำความดีไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิด เพราะความดีเริ่มได้จากสิ่งเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวัน
การเขียน เหมือนเป็นกุศโลบายของสมุดบันทึกความดี เพราะเมื่อเราต้องเขียน เราจะใส่ใจและพิถีพิถันกับสิ่งที่เราทำมากขึ้น
ครูปอยจับดี
ทุกโรงเรียนย่อมมีเด็กหลายกลุ่ม ตั้งแต่กลุ่มเด็กเรียน เด็กโดดเรียน หรือเด็กเกเร ซึ่งแน่นอน เด็กแต่ละกลุ่มไม่ต้องการการดูแลในรูปแบบเดียวกัน
ในมุมมองของครูปอย เด็กที่ดีอยู่แล้ว หรือแม้แต่เด็กที่ดีปานกลาง จะสามารถดูแลพฤติกรรม และจิตใจของตัวเอง ให้อยู่ในเส้นทางความดีได้ และยังสามารถพัฒนาความดีของตนให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป โดยที่คุณครูไม่ต้องดูแลมาก ครูปอยจึงมุ่งเน้นความสนใจไปที่เด็กกลุ่มที่เหลือ ซึ่งคุณครูกล่าวถึงพวกเขาไว้อย่างน่าสนใจว่า ‘กลุ่มเด็กที่ยังไม่รู้ว่าอะไรคือความดี’
เมื่ออ่านสมุดบันทึกความดีของเด็กกลุ่มนี้ ครูปอยพบว่า เด็ก ๆ ก็มีส่วนดีของเขาอยู่ มีการเปลี่ยนแปลงทีละนิด พอสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลง แม้เพียงเล็กน้อย ครูปอยจะคอยชื่นชม เพื่อเป็นแรงผลักดัน ให้เด็กสามารถเดินต่อไปบนเส้นทางความดีในรูปแบบของตนอย่างต่อเนื่อง
บางครั้งการที่เด็กแสดงออกถึงพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง อาจจะไม่ได้เกิดจากความตั้งใจ อาจจะเป็นเพียงเพราะความไม่รู้ว่า ‘เส้นทางที่ถูกต้องคืออะไร’
ครูปอยกับเจ้าหนูจำไม
ช่วงแรก ๆ ที่แจกสมุดบันทึกความดีไป เด็ก ๆ ไม่ให้ความสน ใจ พร้อมกับเกิดคำถามมากมาย
ครูปอยตอบคำถามเหล่านี้ยังไงเพื่อโน้มน้าว จูงใจเด็ก ๆ ให้ลองทำ โดยไม่ต้องบังคับ หรือใช้บทลงโทษ
น้องยีนส์: ครูคะ หนูไม่ทำได้ไหม ทำไมถึงต้องทำ ทำทั้งโรงเรียนหรอ ทำแล้วจะได้อะไร มีคะแนนไหม
ครูปอย: ทำทั้งโรงเรียนค่ะ ให้เขียนเล่าเรื่องประวัติตัวเองนิด ๆ หน่อย ๆ บางเรื่องครูอยากรู้ว่าหนูทำอะไรบ้างในแต่ละวัน
น้องยีนส์: ทำไมครูต้องรู้
ครูปอย: ครูอยากรู้จักน้องยีนส์ น้องยีนส์เป็นคนยังไง
น้องยีนส์: เพราะฉะนั้นหนูต้องทำใช่ไหมคะ เพื่อให้ครูรู้จักหนู
ครูปอย: ใช่ค่ะ เหมือนเราทำความรู้จักคุ้นเคยกัน เวลาหนูมีปัญหา หนูก็ปรึกษาครูได้ ครูจะได้รู้ว่าหนูมีปัญหาเรื่องอะไร ครูสามารถช่วยหนูแก้ไขปัญหานั้นได้ไหม
กลยุทธ์ของครูปอย คือ การแสดงความใส่ใจ ในตัวนักเรียนอย่างจริงใจ จึงทำให้นักเรียนเปิดใจและ ลองทำ สมุดบันทึกความดีให้ครูปอย
เมื่อเรารู้ว่ามีคนใส่ใจ เราย่อมพร้อมที่จะเปิดใจ
สำหรับคำถามในเรื่องของคะแนน เมื่อครูปอยชี้แจงให้ฟังว่าคะแนนมีผลต่อการศึกษาต่อ ในการยื่นสมัครเข้ามหาวิทยาลัย ส่งผลให้พฤติกรรมการเรียน และการส่งงานของน้องยีนส์เป็นไปในทางที่ดีขึ้น
บางครั้งการที่เด็กแสดงออกถึงพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง อาจจะไม่ได้เกิดจากความตั้งใจ อาจจะเป็นเพียงเพราะความไม่รู้ว่า ‘จะทำไปเพื่ออะไร’
เมื่อเจ้าหนูจำไมกลายเป็นเจ้าหนูเข้าใจ
ทำไมน้องยีนส์ถึงมาสายคะ
“ไม่อยากร่วมกิจกรรมหน้าเสาธง และไม่อยากนั่งสมาธิ เพราะไม่รู้ว่าทำไปแล้วจะได้อะไร”
นอกจากบทสนทนาข้างต้น น้องยีนส์ยังเล่าถึงการช่วยงานบ้านคุณป้าไว้อย่างน่าสนใจว่า “สังเกตเห็นสีหน้าและแววตาของคุณป้ามีความสุข ทำไมเราไม่คิดได้ก่อนหน้านี้ที่จะช่วยแบ่งเบาภาระของคุณป้า อยากจะเริ่มทำให้เร็วกว่านี้ ถ้ารู้ว่าทำแล้วดีแบบนี้ ทำไปนานแล้ว”
เมื่อได้ฟังน้องยีนส์ ยิ่งตอกย้ำลงไปอีกว่า การที่เด็กแสดงออกถึงพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง ไม่ใช่เป็นเพราะเด็กไม่ดี แต่เป็นเพียงเพราะความไม่รู้ จึงเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบโดยตรงของคุณครู ที่จะคอยใส่ใจและชี้แนะให้เกิดความเข้าใจ
เมื่อคุณครูใส่ใจจนน้องยีนเกิดความเข้าใจ พฤติกรรมของน้องยีนส์ ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นทั้งที่โรงเรียนและที่บ้าน
ครูปอยดีใจ
เริ่มจากน้องยีนส์ นักเรียนหนึ่งคนที่เข้าใจ ส่งผลให้เพื่อนในแก๊งเริ่มเข้าใจตาม จนเกิดเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นไม่แตกต่างกัน
จาก ลองทำ สมุดบันทึกความดี เพื่อ ลองธรรม สู่การเปลี่ยนแปลงที่สร้าง
ความรู้สึกภูมิใจและดีใจให้ครูปอย
ครูปอยเล่าว่า เด็กในห้องเริ่มดีขึ้น ไม่ต้องพูดย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ บ่อย ๆ เหมือนแต่ก่อน
ครูปอย: วันนี้ 5/1 รู้สึกว่าทำความสะอาดห้องสะอาดกว่าวันก่อน ๆ เลยนะ ครูดีใจจังเลย ครูอยากให้ทำแบบนี้ทุก ๆ วัน เกิดอะไรขึ้นคะ
นักเรียน: วันนี้อารมณ์ดีค่ะ
ครูปอย: ครูอยากให้หนูอารมณ์ดีทุกวัน แล้วทำไมวันนี้ถึงอารมณ์ดี มีอะไรพิเศษหรือเปล่า
นักเรียน: เห็นครูบ่นทุกวัน อยากทำดีให้คุณครูบ้าง
ครูปอย: ดีจังเลย ขอบคุณนะคะที่ทำดีให้ครู
บทสนทนาของครูปอย แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาทางด้านจิตใจที่ลึกซึ้งของลูกศิษย์ และทำให้เราอมยิ้มเมื่อได้ฟัง
เมื่อเด็ก ๆ ตระหนักว่าความสุขของคนรอบข้าง สำคัญเท่ากับความสุขของตนเอง
เมื่อความดีที่ทำ ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่ทำเพื่อคนอื่น
สังคมย่อมสงบสุข
ครูปอยอยากฝาก
“คุณครูอย่าพึ่งท้อใจ ว่าเด็กจะไม่มีการพัฒนา คุณครูเชื่อว่าเด็กจะเชื่อฟังเรา ฟังคำสั่งสอนของเรา ค่อยๆ พูดกับเขา ปลูกฝังเขาทีละเล็กทีละน้อย เด็กที่ไม่เอาไหน เราก็อย่าละทิ้งเขา คอยเป็นห่วง เข้าไปพูดคุยกับเขา ให้เขารู้สึกอุ่นใจว่าครูไม่ได้เลือกเด็กกลุ่มเก่งนะ ให้ความสำคัญ เขาจะได้รู้สึกว่าครูรักเขา ไม่ได้รักเฉพาะกลุ่มเด็กที่ดีอยู่แล้ว”
“เรามีหน้าที่อบรมสั่งสอน เราจะพูดด้วยเหตุผล เราจะไม่พูดด้วยอารมณ์ ทำให้เขาเกรงขามเรา มากกว่าที่จะแอนตี้เรา ไม่อยากเข้าหาครูคนนี้ พยายามเป็นเพื่อนกับเขา แล้วเขาจะไว้ใจเรา”
บทสรุปของบทสัมภาษณ์นี้สวยงามด้วยคำพูดที่จริงใจของครูปอย และนี่คือหัวใจหลักของ Empathy Education
10 มิถุนายน 2568
30 พฤษภาคม 2568
10 พฤษภาคม 2568