ทำอย่างไรให้เด็กกล้าแสดงออก

19 มีนาคม 2562
  •    7,931

     ความกล้าแสดงออก คือคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่เด็กไทยสมัยใหม่ควรจะมี เพราะเดี๋ยวนี้โอกาสและประสบการณ์ที่น่าสนใจต่าง ๆ มักจะถูกหยิบยื่นให้กับคนที่พร้อมจะนำเสนอตัวตนของตัวเองอย่างเต็มที่ทั้งในด้านแนวคิดและการแสดงออก ยิ่งถ้าเด็ก ๆ กล้าที่จะนำเสนอตัวตนในสิ่งที่ตัวเองถนัดและสนใจมากเท่าไหร่ โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตก็มีมากขึ้นเท่านั้น 

     โดยธรรมชาติแล้ว เด็ก ๆ มักจะมีความกล้าแสดงออกในตัวอยู่แล้วเป็นทุนเดิม แต่จะมีมากหรือน้อยนั้นก็ขึ้นอยู่กับ สภาพแวดล้อม นิสัยใจคอส่วนบุคคล และการเลี้ยงดูของแต่ละครอบครัว และจากการที่บางครอบครัวมีเลี้ยงดูที่บังคับและเข้มงวดเกินไป ทำให้มีเด็กจำนวนไม่น้อยต้องกลายเป็นคนที่ไม่กล้าแสดงออก ด้วยเพราะแนวคิดในการเลี้ยงดูเด็กแบบที่ว่า ลูกต้องฟังพ่อแม่ห้ามเถียงห้ามบ่น ทำให้เด็กไม่กล้าที่จะนำเสนอสิ่งต่าง ๆ เพราะเกรงว่าจะทำให้พ่อแม่ไม่พอใจ ทั้ง ๆ ที่บางทีสิ่งที่เขาจะนำเสนอนั้นอาจจะเป็นประโยชน์อย่างมากก็ได้ และเมื่อสถาบันครอบครัวที่ถือว่าเป็นสถาบันเริ่มต้นของการใช้ชีวิต กลับทำให้เด็กเป็นคนไม่ชอบแสดงออกแล้ว ซ้ำร้ายหน่วยงานที่สร้างบรรทัดฐานของสังคมอย่างโรงเรียน ก็กลับใช้ระบบบังคับมากกว่าสร้างให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน ก็ยิ่งตอกย้ำให้เด็กที่ออกไปเป็นสมาชิกของสังคมที่ไม่กล้าแสดงออกหรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ เพราะมองว่าการอยู่เฉยๆ เป็นเรื่องที่ปลอดภัยมากกว่า ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างอย่างมาก

 

ภาพ ชม.สุขจริงหนอ ร.ร.เวียงเศรษฐีวิทยา จ.เชียงใหม่ (1/2561)

 

             ปัจจุบันด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ความสำเร็จของบุคคลที่กล้าแสดงออก เริ่มปรากฏให้เห็นมากขึ้น  ทำให้รูปแบบการเลี้ยงดูสั่งสอนที่เน้นบังคับให้เชื่อฟังนั้น อาจไม่ใช่แนวทางที่เหมาะสมอีกต่อไป เพราะในยุคสมัยนี้ อย่างไรเสียคนที่จะประสบความความสำเร็จในชีวิตได้นั้น จำเป็นต้องมีความกล้าแสดงออกอยู่เป็นปัจจัยหนึ่งด้วยเช่นกัน  ด้วยเหตุนี้เองจึงจำเป็นที่จะต้องส่งเสริมให้เด็กไทยมีความกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสม เพื่อให้เขาพร้อมเผชิญโลกที่ท้าทายนี้ต่อไปได้ในอนาคต และนี่คือ 5 แนวทางที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมให้เด็กมีความกล้าแสดงออกในห้องเรียนครับ

 

 
ภาพ ชม.สุขจริงหนอ ร.ร.วังใหญ่วิทยาคม จ.เพชรบูรณ์ (1/2561)

 

  1. สร้างแบบอย่างที่ดี

             ตามทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมของ อัลเบิร์ต แบนดูรา นักจิตวิทยาชาวแคนาดา ที่เชื่อว่าการเรียนรู้ของมนุษย์นั้นเกิดจากการสังเกตผ่านตัวแบบ ซึ่งถ้าเป็นไปตามทฤษฎี คุณครูควรสร้างรูปแบบห้องเรียนให้เด็ก ๆ มีโอกาสแสดงออกหรือแสดงความคิดเห็นได้อย่างสม่ำเสมอ เช่น เปิดโอกาสให้เขาได้มีช่วงเวลาเล่าถึงประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เขาพบเจอ หรือให้นำเสนองานต่าง ๆ ในรูปแบบที่เขาคิดขึ้นมาเอง วิธีการนี้จะทำให้เด็กที่มีความกล้าแสดงออกอยู่แล้วได้มีพื้นที่ในการแสดงออก และยังกลายเป็นแบบอย่างให้กับเด็กคนอื่น ๆ อยากลุกขึ้นมามีบทบาทด้วยเช่นกัน

 

  1. ไม่เร่งไม่บังคับ

             บ่อยครั้งทีครูอย่างเรามักจะให้เด็กออกมานำเสนอหรืออภิปรายหน้าชั้นเรียนในเรื่องต่าง ๆ โดยการเรียกตามโต๊ะ เลขที่ ชื่อหรือสุ่มอย่างไรก็แล้วแต่ ซึ่งผมมองว่าไม่ใช่วิธีที่ดีนักในการส่งเสริมให้เด็กมีความกล้าแสดงออก เพราะไม่ใช่ว่าเด็กทุกคนจะพร้อมสำหรับการสุ่ม การให้เขาออกไปทั้ง ๆ ที่ยังไม่พร้อมก็ไม่ต่างอะไรกับการให้เขาไปเป็นตัวตลก ดังนั้นให้เวลากับเขาในการเตรียมตัว ห้องเรียนเรามีทั้งคนที่กล้าและไม่กล้าแสดงออก ให้เด็กที่กล้าแสดงออกได้มีโอกาสนำเสนอก่อนและค่อยวนกลับมาที่เด็กที่เราต้องการส่งเสริม น่าจะเป็นแนวทางที่ดีกว่า 

 

  1. คำนึงถึงความชอบความสนใจ

             ความกล้าแสดงออกนั้น เป็นผลพวงจากสิ่งที่เรียกว่า ความเชื่อมั่นในตนเอง (Self Confidence) ซึ่งความเชื่อมั่นในตัวเองนี้เป็นพลังอย่างหนึ่งที่ที่ช่วยให้เรากล้าตัดสินใจและทำกิจกรรมต่าง ๆ  ไม่มีใครสามารถนำเสนอเรื่องที่ตัวเองไม่รู้หรือไม่สัดทัดได้โดยไม่ประหม่า การที่เราจะให้เด็กคนหนึ่งออกไปพูดกับเพื่อนหน้าชั้นเรียนในเรื่องบางเรื่องที่เขาไม่เคยสัมผัสนั้น แทนที่จะเป็นการฝึกให้เขามีความกล้า แต่กลับกลายเป็นการบั่นทอนความกล้าและความมั่นใจของเขาต่างหาก ดังนั้นในฐานะครู ก่อนที่จะให้เขาออกไปเผชิญความกล้า ก็ต้องมั่นใจว่าสิ่งที่คุณจะให้เขากล้าออกไปนำเสนอนั้น เป็นสิ่งที่เขารู้ ชื่นชอบและถนัด

 

  1. ดูและรับฟังอย่างตั้งใจ

             เมื่อเด็กคนหนึ่งกล้าที่จะออกไปทำกิจกรรมอะไรสักอย่าง สิ่งที่ช่วยให้เขาอุ่นใจมากขึ้น คือ การที่มีคนสนใจในสิ่งที่เขากำลังทำ คุณครูควรหมั่นสบตาและพยักหน้ารับกับสิ่งที่เขากำลังนำเสนอ รวมถึงสอบถามในเรื่องที่เกี่ยวข้องบ้างประปราย เพื่อให้เขารู้สึกว่าสิ่งที่เขากำลังสื่อสารนั้นมีคนสนใจอยู่นั่นเอง

 

 

  1. ให้กำลังใจ

             การให้กำลังใจถือเป็นการเสริมแรงที่ถูกนำมาใช้ในการจัดการเรียนรู้มาทุกยุคทุกสมัย ซึ่งถ้าเราต้องการให้เด็กมีพฤติกรรมกล้าแสดงออก เราก็ควรให้ความสำคัญกับการแสดงออกที่เหมาะสมของเขา โดยการชมเชยในสิ่งที่เขาได้กระทำ อาจไม่จำเป็นว่าจะต้องชมเชยด้วยคำสรรเสริญเยินยอมากมายเสมอไป การที่เรารับฟังเขาแล้วบอกเขาว่าสิ่งที่เขานำเสนอออกมานั้นน่าชื่นชมและน่าสนใจ แค่นี้ก็เป็นการให้กำลังใจเด็กที่ยอดเยี่ยมแล้ว

 

  1. ให้โอกาสบ่อย ๆ

             หลังจากที่เราสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เด็กคนหนึ่ง มีความกล้าในตัวเองขึ้นมาได้แล้ว การจะรักษาพฤติกรรมนี้ไว้ก็คือ การสร้างกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เด็กทุกคนได้แสดงออกบ่อย ๆ เช่น การให้ออกมาร้องเพลง การอภิปรายหน้าชั้นเรียน หรือการแสดงละคร ซึ่งกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้จะช่วยให้พฤติกรรมการกล้าแสดงออกของเด็กมีความคงทนมากขึ้น ช่วยลดอาการประหม่า และเพิ่มพูนความมั่นใจ ซึ่งทำให้เด็กมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น

 

 
ภาพ ชม.สุขจริงหนอ ร.ร.พิริยาลัยจังหวัดแพร่ จ.แพร่ (1/2561)

 


ภาพ ชม.สุขจริงหนอ ร.ร.วัดโพธิ์เอน จ.อ่างทอง (1/2561) 

 

ผู้เขียนขอนำเสนอ “กิจกรรมชั่วโมงสุขจริงหนอ”

            เมื่อพูดถึงประโยคที่ว่า “ฝึกฝนพัฒนาสร้างนิสัยที่ดี โดยการ คิดดี พูดดี ทำดี อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ” นั้น เพราะ “นิสัยที่ดี เป็นรากฐานสำคัญของการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ครอบครัวอบอุ่น และเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างสังคมที่สงบสุข” โดยยึดหลักการสำคัญ คือ “เปลี่ยนแปลงจากภายในสู่ภายนอก” โดยอุปนิสัยที่รณรงค์ให้สมาชิกหมั่นปฏิบัติมีอยู่ ๗ ข้อ เรียกว่า ๗ กิจวัตรความดี ถ้าฝึกฝน พัฒนาอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ จะส่งผลให้ครอบครัวอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข มีความอบอุ่น มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่นำไปสู่คุณธรรมอื่น ๆ ที่สูงยิ่งขึ้นไป เช่นความเคารพ ความกตัญญู ความอดทนเสียสละ เป็นต้น

 

ภาพ 7 กิจวัตรความดี 

 

7 กิจวัตรความดี ประกอบด้วย

  1. รักษาศีล 5
  2. สวดมนต์ นั่งสมาธิ
  3. จัดเก็บห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัวให้สะอาด เป็นระเบียบ
  4. คิดดี...ด้วยการจับดีคนรอบข้าง
  5. พูดดี...ด้วยการพูดจาไพเราะ
  6. ทำดี...ด้วยการทำบุญหรือบำเพ็ญประโยชน์อย่างน้อย 1 เรื่อง
  7. ร่วมกิจกรรมชั่วโมงสุขจริงหนอ ช่วงเวลาที่สมาชิกมาทำดีร่วมกัน ทั้งอาราธนาศีล 5 สวดมนต์นั่งสมาธิ แบ่งปันประสบการณ์ที่ดี ๆ ที่เกิดจากการทำ 6 กิจวัตรความดี และได้ฟังธรรมะที่ตอกย้ำความสำคัญของการทำ 6 กิจวัตรความดี ซึ่งกิจกรรมชั่วโมงสุขจริงหนอนี้ จะช่วยเสริมสร้างกำลังใจในการทำความดีของสมาชิกให้มีความมั่นคง และ เข้มแข็งขึ้น

 

ข้อ 1 – 6 เป็นนิสัยประจำวัน ทำที่บ้าน ที่โรงเรียน หรือที่ทำงานของตนเอง

ข้อ 7 เป็นนิสัยประจำสัปดาห์ ร่วมกัน

 

ขั้นตอนกิจกรรมชั่วโมงสุขจริงหนอมีอะไรบ้าง ?

  1. ลงทะเบียน
  2. อาราธนาศีล 5
  3. สวดมนต์ (บทใดก็ได้ที่ถนัด)
  4. นั่งสมาธิ
  5. อ่านธรรมะโดยผู้เข้าร่วมกิจกรรม (สลับหมุนเวียนกันแต่ละสัปดาห์)
  6. บรรยายธรรมะประกอบสื่อโดยวิทยากร
  7. พูดข้อคิดที่ได้โดยผู้เข้าร่วมกิจกรรม
  8. สรุปข้อคิดโดยวิทยากร
  9. แชร์ประสบการณ์ทำความดี
  10. อธิษฐานจิตร่วมกัน
  11. แจ้งข่าวสารต่าง ๆ
  12. ถ่ายรูปร่วมกัน

 

จากขั้นตอนของกิจกรรมชั่วโมงสุขจริงหนอ ทุกข้อล้วนมุ่งเน้นให้เด็กนักเรียนได้กล้าแสดงออก โดยได้ฝึกการจัดกิจกรรม เช่น  ช่วยคุณครูผู้นำกิจกรรมในหน้าที่ต่าง ๆ  ได้ฝึกการเป็นพิธีกรดำเนินรายการ การฝึกนำเพื่อนนักเรียนสวดมนต์ และอาราธนาศีล 5 ฝึกอ่านธรรมะให้เพื่อน ๆ คุณครูได้ฟัง  และเน้นความสำคัญที่ข้อ 9 คือ การแชร์ประสบการณ์ทำความดี โดยนำเรื่องราวความเปลี่ยนแปลงของตนเองที่บันทึกในสมุดบันทึกความดี ที่ประทับใจมาเล่าหน้าชั้นเรียน หรือห้องทำกิจกรรมนั้น

 

ขั้นตอนการทำชั่วโมงสุขจริงหนอ ในโรงเรียน

">

 

     การกล้าแสดงออกนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากต่อการเติบโตของโลกยุคสมัยใหม่ แต่อย่างไรก็ดี ถึงแม้พฤติกรรมการกล้าแสดงออกจะเป็นสิ่งจำเป็น แต่ถ้าพฤติกรรมนั้น เป็นไปในแนวทางที่ไม่ดีไม่เหมาะสม เช่น การกล้าเปิดเผยความเป็นส่วนตัวในโลกออนไลน์  หรือกล้าที่จะแสดงความหยาบคายต่าง ๆ ความกล้าแสดงออกนั้นก็จะย้อนกลับมาทำร้ายตัวตนของเราเอง ดังนั้นในฐานะคุณครู นอกจากจะต้องส่งเสริมให้เด็ก ๆ มีความกล้าแสดงออกแล้ว ยังต้องส่งเสริมให้เขากล้าแสดงออกอย่างเหมาะสมด้วย จึงจะถือว่าเป็นการสร้างให้เด็กมีพฤติกรรมกล้าแสดงออกที่ประโยชน์ต่อเขาอย่างแท้จริง

 

 

ขอขอบคุณ

เรื่อง : เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอม โดย Plook Teacher (ครูเบน นายนรรัชต์  ฝันเชียร)

บทความโดย ชมรมบ้านแสงสว่าง ครอบครัวอบอุ่น แห่งประเทศไทย

ภาพปก : www.freepik.com/freephoto

ภาพประกอบ : เว็บไซต์ศีล 5  www.sila5.com  โครงการโรงเรียนรักษาศีล ๕ เชิงคุณภาพ ครอบครัวอบอุ่น


  •    7,931